วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

หลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างความร้ให้กับนักเรียน

สำนักงานคณะก
รรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กำหนดหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้กับนักเรียน ด้วยงบเงินอุดหนุน โดยเบิกค่าใช้จ่ายให้คำนึงถึงความจำเป็น เหมาะสม ประหยัด ภายในวงเงินที่อย่ในความรับผิดชอบและต้องไม่เป็นเหตุในการเรียกเก็บเงินจากผู้ปกครองเพิ่มเติม 1. การวางแผนกิจกรรมต่าง ๆ ต้องให้ภาคี 4 ฝ่าย(ผู้แทนครู ผู้แทนผู้ปกครอง ผู้แทนชุมชน และผู้แทนกรรมการนักเรียน) และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน มีส่วนร่วมและพิจารณา 2. การพิจารณาสถานที่สำหรับการจัดกิจกรรมร่วมทั้งการพักแรม ให้เลือกใช้บริการสถานที่ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ เป็นลำดับแรก กรณีจำเป็นต้องจัดกิจกรรมในสถานที่ของเอกชนให้อย่ในดุลพินิจของผู้อำนวยการโรงเรียน โดยคำนึงถึงความจำเป็น เหมาะสม ประหยัด และวงเงินที่อยู่ในความรับผิดชอบ สำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรม/การแข่งขัน แบ่งเป็น 2 กรณี กรณีที่ 1 โรงเรียนเป็นหน่วยงานผู้จัดกิจกรรม/การแข่งขัน ให้เบิกจ่ายค่าใช้จ่ายได้เท่าที่จ่ายจริง ดังนี้ 1. ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการใช้และตกแต่งสถานที่จัดกิจกรรม 2. ค่าวัสดุต่าง ๆ สำหรับการจัดกิจกรรม 3. ค่าถ่ายเอกสาร ค่าพิมพ์เอกสารและส่งพิมพ์ 4. ค่าหนังสือสำหรับการจัดกิจกรรม 5. ค่าเช่าอุปกรณ์สำหรับการจัดกิจกรรม 6. ค่าอาหารว่างและเครื่องดิ่ม ไม่เกินมื้อละ 50.- บาท ต่อคน 7. ค่าเข้าชมสถานที่แหล่งเรียนร้ 8. ค่าสาธารณูปโภค 9. ค่าสมนาคุณวิทยากร 9.1 หลักเกณฑ์การจ่ายค่าสมนาคุณวิทยากร * กรณีเป็นการบรรยายให้ความร้กับนักเรียน ให้จ่ายค่าสมนาคุณวิทยากรได้ ไม่เกิน 1 คน * กรณีเป็นการแบ่งกล่มทำกิจกรรม ซึ่งได้กำหนดไว้ในโครงการหรือหลักสูตรการจัดกิจกรรมและจำเป็นต้องมีวิทยากรประจำกล่ม ให้จ่ายค่าสมนาคุณวิทยากรได้ไม่เกินกลุ่มละ 2 คน * การนับชั่วโมงการบรรยาย หรือทำกิจกรรม ให้นับตามเวลาที่กำหนดในตาราง การจัดกิจกรรม โดยแต่ละชั่วโมงต้องกำหนดเวลาไม่น้อยกว่าห้าสิบนาที กรณีกำหนดเวลาไม่ถึง 50 นาที แต่ไม่น้อยกว่า 25 นาที ให้จ่ายค่าสมนาคุณวิทยากรได้กิ่งหนึ่ง 9.2 อัตราค่าสมนาคุณวิทยากร * วิทยากรเป็นบุคลากรของรัฐ ให้ได้รับค่าสมนาคุณวิทยากรได้ไม่เกิน ชั่วโมงละ 600.- บาท * วิทยากรที่มิใช่บุคลากรของรัฐ ให้ได้รับค่าสมนาคุณวิทยากรได้ไม่เกิน ชั่วโมงละ 1,200.- บาท ทั้งนี้ ให้ใช้แบบใบสำคัญรับเงินสำหรับวิทยากร 10. ค่าอาหารสำหรับการจัดกิจกรรม มื้อละไม่เกิน 80.- บาท หรือกรณีจำเป็นต้องจัดกิจกรรมในสถานที่ของเอกชน ให้เบิกจ่ายได้เท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินมื้อละ 150.- บาท 11. กรณีไม่สามารถจัดอาหารให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ทุกมื้อ หรือจัดอาหารให้เพียงบางมื้อ ให้เบิกค่าใช้จ่ายได้ ดังนี้ 11.1 สำหรับครูให้เบิกจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย 11.1.1 โดยคำนวณเวลาตั้งแต่เวลาที่เดินทางออกจากสถานที่อยู่หรือสถานที่ปฏิบัติราชการตามปกตอ จนกลับถึงสถานที่อยู่หรือสถานที่ปฏิบัติราชการปกติ แล้วแต่กรณี(นับเวลา 24 ชั่วโมง =1 วัน ส่วนที่เกิน 24 ชั่วโมง หากนับได้เกิน 12 ชั่วโมง ให้นับเพิ่มอีก 1 วัน) 11.1.2 นำจำนวนวันทั้งหมด(ตามข้อ 11.1.1) คูณ กับอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาะจ่ายตามสิทธิ์ 11.1.3 นับจำนวนมื้ออาหารที่จัดให้ตลอดการจัดกิจกรรม 11.1.4 คำนวณค่าอาหารทั้งหมด โดยให้คิดค่าอาหารมื้อละ 1 ใน 3 ของอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายที่ได้รับ 11.1.5 นำจำนวนเงินค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายที่คำนวณได้ ตาม (ข้อ 11.1.2) หักด้วยจำนวนเงินค่าอาหารที่คำนวณได้ ตาม (ข้อ 11.1.4) ส่วนที่เหลือเป็นค่าเบี้ยเลี้ยที่จะได้รับ 11.2 สำหรับนักเรียนให้เบิกจ่ายเป็นค่าอาหารในลักษณะเหมาจ่าย ในอัตราดังนี้ * จัดอาหาร 2 มื้อ/ต่อวัน เบิกได้คนละไม่เกิน 80.- บาทต่อวัน * จัดอาหาร 1 มื้อ/ต่อวัน เบิกได้คนละไม่เกิน 160.- บาทต่อวัน * ไม่จัดอาหารทั้ง 3 มื้อ/ต่อวัน เบิกได้คนละไม่เกิน 240.- บาทต่อวัน โดยใช้แบบใบสำคัญรับเงินค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมสำหรับนักเรียน เป็นหลักฐานการจ่าย 12. ค่าใช่ที่พักตามที่หน่วยงานให้บริการที่พักเรียกเก็บ หรือกรณีจำเป็นต้องพักในสถานที่ของเอกชนให้เบิกจ่ายได้เท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินอัตราที่กำหนด ดังนี้ * ค่าเช่าห้องพักคู่ ไม่เกินคนละ 600.- บาท ต่อวัน * ค่าเช่าห้องพักเดียว ไม่เกินคนละ 1,200.- บาท ต่อวัน 13. ค่าจ้างเหมาพาหนะรับ - ส่ง ครู และนักเรียนไปร่วมกิจกรรม/ ขนส่งอุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดกิจกรรม 14. ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการใช้บริการสุขาให้เบิกได้ตามอัตราที่หน่วยงานที่ให้บริการเรียกเก็บ 15. ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการใช้บริการพยาบาลให้เบิกได้ตามอัตราที่หน่วยงานที่ให้บริการเรียกเก็บ 16. ค่าใช้จ่ายในการจัดประกวด หรือแข่งขัน 16.1 ค่าตอบแทนกรรมการตัดสิน 16.1.1 กรรมการที่เป็นบุคลากรของรัฐ เบิกจ่ายได้ในอัตราไม่เกินคนละ 600.- บาท ต่อวัน 16.1.2 กรรมการที่มิได้เป้นบุคลากรของรัฐ เบิกจ่ายได้ในอัตราไม่เกินคนละ 1,200.- บาทต่อวัน 16.2 ค่าโล่ หรือถ้วยรางวัล หรือของรางวัลที่มอบให้ผู้ชนะการประกวดหรือแข่งขัน เพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณ ชิ้นละไม่เกิน 1,500.- บาท 17. ค่าใช้จ่ายอื่นที่จำเป็นสำหรับการจัดกิจกรรม กรณีที่ 2 โรงเรียนพานักเรียนไปร่วมกิจกรรม / ร่วมการแข่งขัน กับโรงเรียนอื่นหรือหน่วยงานอื่นซึ่งเป็นผู้จัดกิจกรรม/การแข่งขัน ให้เบิกจ่ายค่าใช้จ่ายได้ดังนี้ 1. สำหรับครู 1.1 กรณีโรงเรียนอื่นหรือหน่วยงานอื่นซึ่งเป็นผู้จัดกิจกรรม/การแข่งขัน มีการจัดอาหาร ที่พัก และพาหนะให้แล้ว ให้งดเบิกค่าใช้จ่ายดังกล่าว 1.2 กรณีโรงเรียนอื่นหรือหน่วยงานอื่นซึ่งเป็นผู้จัดกิจกรรม/การแข่งขัน ไม่จัดอาหาร ที่พัก พาหนะทั้งหมดหรือจัดให้บางส่วน ให้เบิกค่าใช้จ่ายทั้งหมดหรือส่วนที่ขาดสำหรับครูตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฏีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ ยกเว้น * ค่าเช่าที่พักให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริง ไม่เกินคนละ 600.- บาท ต่อวัน สำหรับค่าเช่า-ห้องพักค่ และไม่เกินคนละ 1,200.- บาท ต่อวัน ค่าเช่าห้องพักเดี่ยว * ค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทาง ให้คำนวณเช่นเกียวกันกับกรณีที่ 1 ข้อ 11.1 2. สำหรับนักเรียน 2.1 กรณีโรงเรียนอื่นหรือหน่วยงานอื่นซึ่งเป็นผู้จัดกิจกรรม/การแข่งขัน มีการจัดอาหาร ที่พัก และพาหนะให้แล้ว ให้งดเบิกค่าใช้จ่ายดังกล่าว 2.2 กรณีโรงเรียนอื่นหรือหน่วยงานอื่นซึ่งเป็นผู้จัดกิจกรรม/การแข่งขัน ไม่จัดอาหาร ที่พัก พาหนนะทั้งหมดหรือจัดให้บางส่วน ให้เบิกค่าใช้จ่ายทั้งหมดหรือส่วนที่ขาดให้กับนักเรียน ดังนี้ * ค่าอาหารในลักษณะเหมาะจ่าย ตามข้อ 11.2 (ส่วนของนักเรียน) * ค่าเช่าที่พักเหมาจ่าย ไม่เกินคนละ 500.- บาท ต่อวัน * ค่าพาหนะ ให้เบิกจ่ายได้ตามสิทธิของข้าราชการตำแหน่งประเภททั่วไประดับปฏิบัติงาน(เทียบเท่าระดับ 1-4) * ใช้แบบใบสำคัญรับเงินค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมสำหรับนักเรียน(เอกสารแนบ2) เป็นหลักฐานการจ่าย 3. ค่าใช้จ่ายอื่นที่จำเป็นสำหรับการพานักเรียนไปร่วมกิจกรรม/รวมการแข่งขัน ************************************ หมายเหตุ การพิจารณาเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้คำนึงถึงความจำเป็น เหมาะสม ประหยัด ภายในวงเงินที่อยู่ในความรับผิดชอบ เท่านั้น และต้องไม่เป็นเหตุในการเรียกเก็บเงินจากผู้ปกครองเพิ่มเติมด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ประเภทและอัตราเงินบำรุงการศึกษาและค่าเล่าเรียน

แนบหนังสือ กรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค 0422.3/ว390 ลงวันที่ 30 ตุลาคม 2552
ประเภทและอัตราเงินบำรุงการศึกษาในสถานศึกษาของทางราชการ
             1. ระดับอนุบาลหรือเทียบเท่า ปีละไม่เกิน                4,650.- บาท
             2. ระดับประถมศึกษาหรือเทียบเท่า ปีละไม่เกิน       3,200.- บาท
             3. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นหรือเทียบเท่า ปีละไม่เกิน 3,900.- บาท
             4. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/หรือหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.)3,900.- บาท
                  หรือเทียบเท่า ปีละไม่เกิน
              5. ระดับอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ปีละไม่เกิน                      11,000.- บาท
เงินบำรุงการศึกษา หมายถึง เงินประเภทต่าง ๆ ที่สถานศึกษาของทางราชการเรียกเก็บตามอัตราที่ไดรับอนุมัติจากกระทรวงศึกษาธิการ ส่วนราชการเจ้าสังกัด หรือที่กำกับ มหาวิทยาลัย องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา องค์กรปกครองส่วนท้องถินที่มีกฎหมายจัดตั้งหรือองค์การของรัฐบาล
โดยระดับอนุบาลจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า เงินบำรุงการศึกษาที่ให้เบิกจ่ายตามประเภทและอัตราข้างต้น ประกอบด้วยรายการค่าใช้จ่ายในการศึกษาดังต่อไปนี้
              1. ค่าสอนคอมพิวเตอร์ กรณีโรงเรียนจัดคอมพิวเตอร์ให้นักเรียนเกินมาตรฐานที่รัฐจัดให้
              2. ห้องเรียนพิเศษ EP(English Program)
              3. ห้องเรียนพิเศษ MEP(Mini English Program)
              4. ห้องเรียนพิเศษด้านภาษาต่างประเทศ ด้านวิชาการและด้านอื่น ๆ
              5. ค่าจ้างครูชาวต่างประเทศ
              6. ค่าจ้างครูที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาเฉพาะ
สำหรับระดับอนุปริญญาหรือเทียบเท่า เงินบำรุงการศึกษา ที่ให้เบิกจ่ายจะต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่สถานศึกษาได้รับอนุญาตจากหน่วยงานเจ้าสังกัดให้เรียกเก็บ ทั้งนี้ไม่รวมค่าปรับต่าง ๆ ค่าลงทะเบียนล่าช้าการลงทะเบียนเรียนซ้ำเพื่อปรับผลการเรียน(รีเกรด) ค่าประกันอุบัติเหตุ ค่าประกันของเสียหาย ค่าหอพัก ค่าอาหาร ค่าซักรีด และค่ารักษาสถานภาพการเป็นนักศึกษา

การขออนุญาตรื้อถอนอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างที่เป็นที่ราชพัสดุ

หลักเกณฑ์ในการพิจารณารื้อถอนอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างที่เป็นราชพัสดุ
ต้องได้รับอนุญาตจากกรมธนารักษ์(กรณีที่ราชพัสดุอยู่ในกรุงเทพมหานคร)  และผู้ว่าราชการจังหวัด(กรณีที่ราชพัสดุอยู่ในจังหวัดอื่น) ก่อนการรื้อถอน ยกเว้นกรณีดังต่อไปนี้ สามารถรื้อถอนได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจาก
                  กรมธนารักษ์/ผู้ว่าราชการจังหวัด แต่เมื่อรื้อถอนแล้วต้องแจ้งให้กรมธนารักษ์/ผู้ว่าราชการจังหวัดทราบ
                    1.อาคารหรือสิ่งปลูกสร้างที่ก่อสร้างมาแล้วไม่น้อยกว่า 25 ปี
                    2.อาคารหรือส่งปลูกสร้างที่ชำรุดจนใช้การไม่ได้
                    3.อาคารหรือสิ่งปลูกสร้างที่เกี่ยวกับราชการลับทางทหาร
                    4.อาคารหรือสิ่งปลูกสร้างเดิม เพื่อปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างใหม่ทดแทนตามที่ได้รับงบประมาณ
สำหรับวัสดุที่ได้จากการรื้อถอน ให้นำออกประมูลขายโดยอนุโลมตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยพัสดุ พ.ศ.2535  แล้วนำเงินที่ได้จากการขายส่งคลับงเป็นรายได้ของกรมธนารักษ์  หากมีความจำเป็นต้องใช้เพื่อประโยชน์แก่ทางราชการอย่างอื่น  ต้องขออนุญาตต่อกรมธนารักษ์ ก่อน โดยชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นให้ทราบเพื่อประกอบการพิจารณา และต้องไม่นำวัสดุที่ได้จาก การรื้อถอนไปสมทบกับกับงบประมาณที่ได้รับเป็นค่าก่อสร้างอาคารใหม่ เว้นแต่ได้รับอนุมัติจากสำนักงบประมาณแล้ว
ขั้นตอนการพิจารณาและดำเนินการ
แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การขออนุญาต ขั้นตอนที่ 2 การรื้อถอน
                   ขั้นตอนที่ 1 การขออนุญาต
1. บันทึกขออนุญาตรื้อถอน โดยแนบราย่ละเอียดประกอบการพิจารณา ดังนี้
     1.1 เหตุผลประกอบการรื้อถอน รวมทั้งประวัติอาคาร/สิ่งปลูกสร้าง เช่น ก่อสร้างเมื่อใด,สภาพอาคารปัจจุบันเป็นอย่างไร วัสดุที่ได้ จากการรื้อถอนจะเอาไปใช้ประโยชน์ หรือประมูลขาย เป็นต้น
     1.2  ภาพถ่ายอาคาร/สิ่งปลูกสร้างที่ขอรื้อถอน
     1.3  แผนที่สังเขป
     1.4  แบบรายการ ส่ง-รับ ที่ราชพัสดุขึ้นทะเบียน (แบบ ทบ.9) ยกเลิก โดยเปลี่ยนไปใช้แบบสำรวจรายการอาคารสิ่งปลูกสร้าง
              ขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุ แบบ ทร.04 ในกรณีที่อาคารดังกล่าวยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน และใช้แบบ ทร.01/2 ในกรณีที่อาคารดังกล่าว ขึ้นทะเบียนแล้ว โดยติดต่อขอสำเนาได้ที่สำนักงานธนารักษ์พื้นที่
      1.5 แบบรายการแจ้งขอรื้อถอนอาคาร สิ่งปลูกสร้างที่เป็นที่ราชพัสดุ(แบบ ทบ.3)  ผู้ลงนามในแบบ ทบ.3 จะต้องเป็น
            ผู้อำนวยการกอง,ผู้อำนวยการสำนักหรือผู้รักษาการแทนหรือผู้ปฏิบัติราชการแทนที่ได้รับมอบหมายเป็นลายลักษณ์อักษรให้
      1.6  แต่งตั้งคณะกรรมการไม่น้อยกว่า 3 คน เพื่อตรวจนับวัสดุและควบคุมการรื้อถอน
2.  บันทึกส่งเรื่องเสนอความเห็นชอบ/ไม่เห็นชอบ การรื้อถอนอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง
     1.พิจารณาให้ความเห็นชอบ/ไม่เห็นชอบ การรื้อถอนอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง
     2. ส่งกองกฏหมายและที่ดิน เพื่อขออนุมัติกรมฯ รื้อถอน
                       ขั้นตอนที่ 2 การรื้อถอน
1. เมื่อกรมธนารักษ์ หรือผู้ว่าราชการจังหวัด แล้วแต่กรณี อนุมัติการรื้อถอนแล้ว ให้โครงการฯ ดำเนินการรื้อถอน โดย
        1.1 ให้คณะกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งตรวจนับและควบคุมการใช้วัสดุที่รื้อถอน
        1.2 ให้จัดทำบัญชีคุมยอดวัสดุที่รื้อถอนว่ามีจำนวนเท่าใดโดยแยกบัญชีวัสดุที่ใช้การได้ และใช้การไม่ได้ออกจากกัน
        1.3 วัสดุคงเหลือจากการใช้ประโยชน์ให้นำออกประมูลขายนำเงินส่งคลังเป็นรายได้กรมธนารักษ์
        1.4 ในรายงานบัญชีคุมยอดวัสดุ ให้คณะกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้ง ลงนามกำกับทุกแผ่น
        1.5 ให้จัดทำแบบรายการแจ้งการรื้อถอนอาคาร สิ่งปลูกสร้างที่เป็นที่ราชพัสดุ (แบบ ทบ.2)  ซึ่งเป็นเอกสารใช้ประกอบการขอจำหน่าย
               สิ่งปลูกสร้างออกจากทะเบียนอาคารราชพัสดุ(ต้องระบุวันที่รื้อถอนแล้วเสร็จด้วย)
2.  สรุปรายละเอียด พร้อมบันทึกคณะกรรมการตรวจนับวัสดุที่รื้อถอน เสนอผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
        1. ร่างหนังสือถึง กรมธนารักษ์ หรือผู้ราชการจังหวัด แจ้งการรื้อถอน ขออนุญาตนำวัสดุที่ได้จากการรื้อถอนไปใช้ประโยชน์ แจ้งการประมูลขายวัสดุ แจ้งขึ้นทะเบียนอาคาร จำหน่ายออกจากทะเบียนราชพัสดุ(แล้วแต่กรณี) เสนอ เพื่อลงนาม
       2. ส่งเรื่องแจ้งสถานศึกษา เพื่อขึ้นทะเบียน จำหน่ายออกจากทะเบียนแล้วแต่กรณี

กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
1.กฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้ และจัดประโยชน์เกี่ยวกับที่ราชพัสดุ พ.ศ.2545
2.กฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้ และจัดประโยชน์เกี่ยวกับที่ราชพัสดุ(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2549
3.กฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้ และจัดประโยชน์เกี่ยวกับที่ราชพัสดุ(ฉบับที่ 3) พ.ศ.2549

วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555

แจ้งเพื่อทราบ

ด้วย ขณะนี้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ได้มาตั้งสำนักงานอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์ แล้ว โดยตั้งอยู่ในบริเวณวิทยาลัยเทคนิคสุรินทร์  ขณะนี้อยู่ระหว่างการทำแผนการออกตรวจสถานศึกษาสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33  ในเรื่อง ค่าก่อสร้างที่เกิน 1,000,000.- บาท  หรืออาจจะเรียกดูอย่างอื่น ขอความร่วมมือช่วยตรวจสอบความเรียบร้อยเตรียมความพร้อมรับการตรวจ  หากโรงเรียนใดประสงค์จะให้งานบริหารการเงินและสินทรัพย์ ช่วยสอบทาน ขอให้ท่านทำหนังสือแจ้งเพื่อที่จะจัดเจ้าหน้าที่มาช่วยเหลือดูแลต่อไป

รู้เรื่อง กบข.

ทางเลือกในการบริหารเงินออม
โครงการออมเพิ่ม
        โครงการออมเพิ่มเป็นการให้สิทธิแก่สมาชิก กบข.เลือกส่งเงินสะสมส่วนเพิ่มสูงสุดได้ถึง 12% เมื่อรวมกับการส่งเงินสะสมปกติแล้วต้องไม่เกิน 15% ของเงินเดือนสมาชิก  โดยรัฐยังคงส่งเงินสมทบและเงินชดเชยในอัตรา 3% และ 2% ของเงินเดือนสมาชิกเช่นเดิม
ข้อดีของการออมเพิ่มกับ กบข.
1.  ผลประโยชน์ตอบแทน ปริมาณเงินออมที่เพิ่มขึ้น บวกับตราผลตอบแทนที่ กบข. บริหารให้ จะช่วยทวีเงินออมของสมาชิกที่งอกเงยมากขึ้น ยิ่งออมเพิ่มมาก พลังดอกเบี้ยทบต้นจะช่วยทบทวีเงินออมของสมาชิกให้เพิ่มขึ้นอีก
2.  สิทธิประโยชน์ทางภาษี  ได้รับยกเว้นภาษีในส่วนของเงินสะสม  ที่นำส่งเข้ามายังกองทุน ได้ไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF) ในปีภาษีนั้น
3. สร้างวินัยในการออม ช่วยสร้างวินัยการออมให้สมาชิก กบข.โดยหักผ่านบัญชี ทำให้สมาชิกมีเงินเก็บออมแน่นอน

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เหตุสุดวิสัย

ขณะนี้มีผู้ประกอบการขอขยายเวลาการส่งมอบพัสดุครุภัณฑ์โดยกล่าวอ้างเหตุสุดวิสัยมาเพื่อขอขยายเวลา จึงขอนำเรื่องเหตุสุดวิสัยมาเพื่อพิจารณา
เหตุสุดวิสัย  หมายถึง เหตุการณ์ใด ๆ ที่เกิดขึ้นโดยฉับพลันโดยไม่มีบุคคลใดคาดหมายหรือคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น  และไม่อาจป้องกันหรือหลีกเลี่ยงให้พ้นไปได้  แม้ว่าตนเองจะได้ใช้ความระมัดระวังแล้วก็ตาม  ทำให้ตนเองหลุดพ้นจากความรับผิดทั้งปวง  ไม่ว่าจะเป็นความรับทางแพ่งหรือทางอาญาก็ตาม  ซึ่งตามพจนานุกรม  ให้ความหมายของคำว่า  เหตุสุดวิสัย  ว่าคือ  เหตุที่พ้นความสามารถของใครอันที่ป้องกันได้  และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา 8  บัญญัติว่า   คำว่า    เหตุสุดวิสัย    หมายความว่า    เหตุใด ๆ อันจะเกิดขึ้นก็ดีจะให้ผลพิบัติก็ดี   เป็นเหตุที่ไม่อาจป้องกันได้แม้ทั้งบุคคลผู้ต้องประสบหรือใกล้จะต้องประสบเหตุนั้น   จะได้จัดการระมัดระวังตามสมควรอันพึงคาดหมายได้จากบุคคลในฐานะและภาวะเช่นนั้น   นอกจากนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 10  และ มาตรา 23  ได้บัญญัติในเรื่องเกี่ยวกับเหตุสุดวิสัยไว้ด้วย
                   มาตรา 10  ถ้าไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นที่มีเขตศาลเหนือคดีนั้นได้โดยเหตุสุดวิสัย  คู่ความฝ่ายที่เสียหายหรืออาจเสียหายเพราะการนั้นจะยื่นคำขอฝ่ายเดียว  โดยทำเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้นซึ่งตนมีภูมิลำเนาหรืออยู่ในเขตศาลในขณะนั้นก็ได้  และให้ศาลนั้นมีอำนาจทำคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่เห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
                        มาตรา 23  เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคู่ความฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องเพราะให้ศาลมีอำนาจที่จะออกคำสั่งขยาย  หรือย่นระยะเวลาตามที่กำหนด  ไว้ในประมวลกฎหมายนี้  หรือตามที่ศาลได้กำหนดไว้  หรือระยะเวลาที่เกี่ยวด้วยวิธีพิจารณาความแพ่ง  อันกำหนดไว้ในกฎหมายอื่น  เพื่อให้ดำเนินหรือมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ก่อนสิ้นระยะเวลานั้น    แต่การขยายหรือย่นเวลาเช่นว่านี้ให้พึงทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษ   และศาลได้มีคำสั่งหรือคู่ความมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้น    เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย

                      เหตุสุดวิสัย  เช่น  เหตุที่เกิดจากภัยธรรมชาติ  เช่น  น้ำท่วมทำให้ถนนขาด  หรือสะพานขาด  ไม่อาจใช้สัญจรผ่านไปมาได้  หรือเกิดเหตุจากการกระทำของบุคคลอื่นโดยกะทันหัน  หรือมีเหตุการณ์อื่นๆ เกิดขึ้นโดยฉับพลัน    ซึ่งตนเองไม่อาจป้องกันหรือโดยไม่อาจบังคับมิให้เกิดเหตุดังกล่าวขึ้นได้  หรือไม่อาจหลีกเลี่ยงมิให้พบเจอเหตุดังกล่าวได้  แต่ถ้าเป็นเหตุธรรมชาติที่เกิดขึ้นเป็นประจำย่อมไม่อาจถือว่าเป็นเหตุสุดวิสัยได้
                   ส่วนเหตุพฤติการณ์พิเศษ  คือ  เหตุการณ์ใด ๆ ที่เกิดขึ้นมาแล้วทำให้คู่ความไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่งได้    ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้   หรือมีความจำเป็นที่จะต้องรีบดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่งให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว    มิฉะนั้นจะเกิดความเสียหายแก่ตนเอง    แต่ยังไม่ถือขนาดที่จะเป็นเหตุสุดวิสัยได้
ตัวอย่างฎีกาย่อ (ค้นหาฎีกาเต็มได้จาก แผ่นฎีกา คุณสมเกียรติ  เจริญมหรรชัย)
1.ไม่สามารถส่งมอบทรัพย์ที่ซื้อขายจะอ้างเหตุว่าผู้ผลิตไม่สามารถ             ฎ 4056-57/2532
          ส่งมอบให้ตนได้  ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย
2.ลมพายุพัดแรง  อาคารที่ก่อสร้างไว้ชำรุดบกพร่อง  ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย        ฎ 2140/2520

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555

การรับสมัครนักศึกษาปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก

มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี  รับสมัครนักศึกษาภาคปกติ และภาคพิเศษ(การศึกษาทางไกล(ออนไลน์)
"สำหรับวัยทำงานและผู้รักความก้าวหน้าการศึกษาที่ไร้พรมแดน เรียนใกล้บ้านใกล้ที่ทำงานประหยัดเงินและเวลา"
ปริญญาตรี เปิดสอน รัฐประศาสตศาสรบัณฑิต(รป.บ)
ปริญญาโท เปิดสอน รัฐประศาตรมหาบัณฑิต(ร.ป.ม.)
                                  ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต(ศษ.ม.)
                                  สาขา วิชาการบริหารการศึกษา
                                  สาขา วิชาหลักสูตรและการสอน
ปริญญาเอก เปิดสอน ศึกษาศาสตร์ดุษฏีบัณฑิต (ศบ.ด)
สนใจติดต่อ  คุณโกวิท  หงษ์สูง ปริญญาเอก ศบ.ด สาขาบริหารการศึกษา รุ่นที่ 4 มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี โทร 085-1024540